บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

นิพพานทันตาเห็น [3]


ในหนังสือ “คำถาม คำตอบ: ปัญหาทางพระพุทธศาสนา เล่ม 2” มีผู้ถามคุณสุชีพว่า

“ภัททวัคคิยกุมาร กลุ่มชายหนุ่ม 30 คนก็ดี พระปุกกุสาติผู้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้วขอบวชก็ดี พระไตรปิฎกมิได้บ่งชัดว่า บรรลุอริยผลระดับไหน

มีคำอธิบายจากหลักฐานอื่นอย่างไร?

คุณสุชีพตอบคำถาม ดังนี้

ขอกล่าวเป็นรายๆ ไป รายภัททวัคคิยกุมาร พระไตรปิฎกใช้คำว่า

ได้ดวงตาเห็นธรรม ตามที่เข้าใจกันทั่วไป ก็ว่าเป็นพระโสดาบัน คือพระอริยบุคคลระดับแรกเท่านั้น

แต่พระอรรถกถาจารย์ คือ พระอาจารย์ผู้แต่งคำอธิบายพระไตรปิฎกขยายความว่า ดวงตาเห็นธรรมมี  3 ระดับ คือ โสดาปัตติมรรค, สกทาคามิมรรค, และอนาคามิมรรค กุมารทั้ง 30 ท่าน ได้บรรลุมรรคต่างๆ กัน 3 ระดับดังกล่าวข้างต้น

ส่วนรายที่  2 พระปุกกสาติ ผู้ฟังธรรมแล้วขอบวช แต่ถูกโคขวิดสิ้นชีวิตนั้น  ความจริงพระปุกกสาติบวชมาก่อนแล้ว เพียงแต่ครองเพศภิกษุ บวชอุทิศพระบรมศาสดา ทั้งที่ไม่รู้จัก

เมื่อฟังธรรมแล้ว ได้บรรลุคุณธรรมชั้นสูง จึงได้ทราบว่า ตนพบพระศาสดาแล้ว จึงกราบขอขมาแล้วขอบวชให้ถูกต้องสมบูรณ์

พระไตรปิฎกมิได้ระบุชัดว่า ท่านบรรลุมรรคผลชั้นไหน แต่ในท้ายธาตุวิภังคสูตร ซึ่งว่าด้วยเรื่องนี้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลถึงคติของท่านพระปุกกสาติ

พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า “ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย! ปุกกุสาติกุลบุตรเป็นโอปปาติกะ (เกิดเติบโตขึ้นทันที) เพราะสิ้นสัญโญชน์เบื้องต่ำ 5 จะปรินิพพานในที่นั้น มีการไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา”

โดยใจความก็คือ เป็นพระอนาคามีบุคคล เกิดในชั้นสุทธาวาส และจะนิพพานในที่นั้น ไม่กลับมาเกิดอีก

พระ อรรถกถาจารย์อธิบายว่า พอสิ้นชีวิต (หลังจากฟังธรรมได้บรรลุอนาคามิผลแล้ว) ก็ไปเกิดในสุทธาวาสชั้นอวิหา และได้บรรลุอรหัตตผลในทันทีที่เกิดขึ้น
(อรรถกถาธาตุวิภังคสูตร หน้า 704)

วิพากษ์วิจารณ์

ในบทความเรื่อง “นิพพานทันตาเห็น [1-2]”  ผมได้ย้ำหลายครั้งว่า คุณสุชีพซึ่งในที่นี้ถือว่าเป็นตัวแทนของพุทธวิชาการ เชื่อปรัชญากับเชื่อวิทยาศาสตร์มากกว่าพระไตรปิฎก 

จากคำตอบข้างตนนั้น  ดูเหมือนว่า คุณสุชีพจะเชื่อพระอรรถกถาจารย์ด้วย

ประเด็นนี้ ผมขอฟังธงเลยว่า คุณสุชีพไม่ได้เชื่อพระอรรถกถาจารย์ไปทั้งหมด

คุณสุชีพจะไปเลือกข้อความในอรรถกถามาเป็นหลักฐานยืนยันก็ต่อเมื่อคำอธิบาย ปรัชญากับวิทยาศาสตร์ไม่มี  จึงจำเป็นต้องพึ่งอรรถกถาจารย์

อย่างไรก็ดี ขนาดไปนำเอาข้อความของอรรถกถามาตอบแทนแล้ว คุณสุชีพก็ยังอธิบายให้ผู้อ่านเข้าใจอย่างชัดเจนไม่ได้อยู่ดีว่า ที่คุณสุชีพเขียนๆ ไปนั้น จะต้องทำอย่างไร

คุณสุชีพอ้างข้อความของ อรรถกถาว่า

“พระอรรถกถาจารย์ คือพระอาจารย์ผู้แต่งคำอธิบายพระไตรปิฎกขยายความว่า ดวงตาเห็นธรรมมี 3 ระดับ คือ
โสดาปัตติมรรค,
สกทาคามิมรรค, และ
อนาคามิมรรค

กุมารทั้ง 30 ท่าน ได้บรรลุมรรคต่าง ๆ กัน 3 ระดับดังกล่าวข้างต้น”

จากข้อความข้างต้น คุณสุชีพยังไม่ได้อธิบายว่า
ดวงตาเห็นธรรมที่เป็นโสดาปัตติมรรคเป็นอย่างไร
ดวงตาเห็นธรรมที่เป็นสกทาคามิมรรคเป็นอย่างไร
ดวงตาเห็นธรรมที่เป็นอนาคามิมรรคเป็นอย่างไร

ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ คุณสุชีพไม่เคยอธิบายเลยว่า “การเห็น” ธรรมะที่คุณสุชีพกล่าวถึงนั้น  เห็นอย่างไร ใช้อะไรเป็นเครื่องมือในการเห็น

คำตอบของคุณสุชีพตอนหนึ่งกล่าวว่า

“เมื่อฟังธรรมแล้ว ได้บรรลุคุณธรรมชั้นสูง  จึงได้ทราบว่า ตนพบพระศาสดาแล้ว จึงกราบขอขมาแล้วขอบวชให้ถูกต้องสมบูรณ์”

ข้อเขียนตรงนี้ของคุณสุชีพสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับผู้อ่านเป็นอย่างยิ่ง เพราะ คุณสุชีพต้องอธิบายอีกมากเลยว่า

พระปุกกสาติเมื่อพบพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่รู้เลยหรือว่า ที่กำลังทรงสั่งสอนตนเองอยู่นั้น “เป็นพระพุทธเจ้า”

พระปุกกสาตินั้น ศรัทธาพระพุทธเจ้ามาก ถึงกับบวชให้เลย บวชให้ตั้งแต่ยังไม่พบพระพุทธเจ้า  แต่พบแล้ว ได้รับการสั่งสอนแล้ว ยังไม่รู้หรือว่า พระพุทธเจ้ากำลังทรงสั่งสอนตนเองอยู่

พระพุทธเจ้ามีรูปร่างลักษณะที่ดีกว่าพระอื่นๆ พระพุทธเจ้าจะต้องมีพระติดตามไปด้วยจำนวนมาก  พระปุกกสาติไม่รู้เชียวหรือว่า พระพุทธเจ้ากำลังทรงสั่งสอนตนเองอยู่

คำตอบของคุณสุชีพอีกตอนหนึ่ง มีว่า

“พระ อรรถกถาจารย์อธิบายว่า พอสิ้นชีวิต (หลังจากฟังธรรมได้บรรลุอนาคามิผลแล้ว) ก็ไปเกิดในสุทธาวาสชั้นอวิหา และได้บรรลุอรหัตตผลในทันทีที่เกิดขึ้น
(อรรถกถาธาตุวิภังคสูตร หน้า 704) ”

เมื่อพระปุกกสาติบรรลุ พระอนาคามีแล้ว ซึ่งคุณสุชีพก็อธิบายไม่ได้ว่า บรรลุพระอนาคามีอย่างไร ก็ถูกโคขวิดตาย แล้วไปเกิดเป็นรูปพรหมในชั้นอวิหา

พอเกิดปุ๊ปก็เป็นอรหันต์เลย

กิเลสตัวท้ายๆ ที่อยู่ในกายของพระอนาคามีคือ มานะ อุทธัจจะ และอวิชา  มันจะหายไปได้อย่างไร

ไม่มีคำอธิบายจากคุณสุชีพ

ก่อนที่จะอธิบายคำสอนนของสายวิชาธรรมกาย จะขออธิบายเกี่ยวกับอรรถกถา ฎีกา อนุฏีกา และอัตโนมติ [(ความเห็นส่วนตัว) ไม่ใช่อัตโนมัติ ]

พุทธวิชาการส่วนใหญ่ ตั้งกฎและยอมรับกฎเกี่ยวกับเอกสารของศาสนาพุทธเถรวาท ว่า

1) พระไตรปิฎก 2) อรรถกถา 3) ฎีกา 4) อนุฏีกา และ 5) อัตโนมติ มีความสำคัญเรียงลำดับมาตามนั้น

สำหรับผมเองนั้น ในฐานะที่เรียนมาทางภาษาศาสตร์และปรัชญา  ผมฟันธงเลยว่า อรรถกถาจารย์อธิบายพระไตรปิฎกมั่วพอๆ กันกับพุทธวิชาการสมัยนี้

แตกต่างกันเพียงแต่ว่า อรรรถกถาจารย์เข้าใจผิดไปเอง โดยไม่มีอิทธิพลของวิทยาศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ปรัชญาของอินเดียเอง อาจจะส่วนทำให้อรรถกถาอธิบายพระไตรปิฎกผิดเพี้ยนไป

ดังนั้น นอกจากพุทธพจน์ในพระไตรปิฎกแล้ว (พระไตรปิฎกบางส่วน มีการเขียนเข้าไปใหม่ในชั้นหลัง) อรรถกถา ฎีกา อนุฏีกา และอัตโนมติ มีความสำคัญเท่ากัน  มีโอกาสผิดพลาดได้เท่าๆ กัน ไม่จำเป็นจะต้องมีจัดลำดับให้วุ่นวายไปอีก

การที่พุทธวิชาการพยายามจัดลำดับเอกสารของศาสนานั้น ก็เพื่อทำให้คำอธิบายของตนดูดีขึ้น  เอาไว้ข่มชาวบ้าน ว่าอย่างนั้นดีกว่า

ถ้าถามว่า “คำสอนของพุทธปฏิบัติธรรมต่างๆ นั้นเป็นอะไร ในเอกสารของศาสนาพุทธ

คำตอบ ก็คือ เป็น อัตโนมติ  ความเห็นส่วนตัวของพระปฏิบัติต่างๆ

อัตโนมติเหล่านี้ มีทั้งตรงและไม่ตรงกับพระไตรปิฎกก็มี ท่านผู้อ่านก็ต้องตัดสินใจด้วยตัวของท่านเอง ว่าจะเชื่อไปทางไหน อย่างไร

คำอธิบายของวิชาธรรมกายในประเด็นปัญหาที่กล่าวถึงไปข้างต้น

หลวงพ่อวัดปากน้ำอธิบายไว้อย่างชัดเจน เรื่องกิเลสกับการบรรลุธรรมะในระดับต่างๆ ไว้ว่า  กิเลสหลักๆ ที่ขวางกั้นไม่ให้พวกเราไปนิพพานได้ มี  7 กลุ่ม

กิเลสเหล่านั้น มีอยู่ประจำกายต่างๆ ดังนี้


ผมขอยกคำเทศน์ของหลวงพ่อวัดปากน้ำมาเป็นหลักฐาน คำเทศน์ที่ว่าคือ เรื่อง “อาทิตตปริยายสูตร” เทศน์เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2496 เรื่องกิเลสหมดไปจากกายต่างๆ ดังนี้

หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะนั่นแหละ  พอถูกส่วนเข้าก็จะเห็นกายมนุษย์ละเอียด อภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ ของกายมนุษย์หยาบหายไปหมด เหลือของมนุษย์ละเอียด

ใจก็หยุดอย่างนั้นแหละ ในศูนย์กลางกายมนุษย์ละเอียดก็เห็นแบบเดียวกันอย่างนี้แหละ ก็ถึงกายทิพย์ อภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ หายไปหมด

พอเข้าถึงกายทิพย์แล้ว หยุดอยู่ในกลางกายทิพย์อย่างนี้แหละ จะเข้าถึงกายทิพย์ละเอียด

หยุดอยู่กลาง กายทิพย์ละเอียดอย่างนี้แหละก็จะเข้าถึงกายรูปพรหมนี่ โลภะ โทสะ โมหะ หายไปหมดแล้วเหลือแต่ ราคะ โทสะ โมหะ

หยุดดังนี้ในกายรูปพรหมทั้งหยาบทั้งละเอียดจะเข้า ถึงกายอรูปพรหมนี่ ราคะ โทสะ โมหะ หายไปหมดอีกแล้ว

หยุดอยู่ดังนี้แหละ ในกายอรูปพรหมทั้งหยาบทั้งละเอียดเข้าถึงกายธรรมพอเข้า ถึงกายธรรมเท่านั้น กามราคานุสัย อวิชชานุสัย ปฏิคานุสัย ก็หายไปหมด

กายธรรมเป็นวิราคธาตุวิราคธรรม ส่วนหยาบส่วนย่อยเป็นวิราคธาตุ

วิราคธรรมที่ยังเจือปนระคนอยู่ด้วยฝ่ายหยาบยังไม่เป็นวิราคธาตุวิราคธรรมแท้สิ้นเชิงทีเดียว แต่เข้าเขตวิราคธาตุวิราคธรรมแล้ว

ก็หยุดอยู่ในกายธรรมทั้งหยาบทั้งละเอียด อย่างนี้แหละจะเข้าถึงกายโสดาทั้งหยาบทั้งละเอียดนี่หมด สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส เข้าถึงพระโสดาไป

แล้วหยุดอยู่ที่พระโสดาดังนี้ พอถูกส่วนเข้าจะเข้าถึงพระสกทาคาทั้งหยาบทั้งละเอียด กามราคะ พยาบาท อย่างหยาบหมด

หยุดอยู่ในพระสกทาคาอย่างนี้ทั้งหยาบทั้งละเอียดถูกส่วนดังนี้ จะเข้าถึงพระอนาคา กามราคะพยาบาทอย่างละเอียด หมด

เหลือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา

หยุดอยู่ในกายพระอนาคาอย่างนี้แหละ จะเข้าถึงกายพระอรหัตทั้งหยาบทั้งละเอียด รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา หลุดหมด

พอเข้าถึงกายพระอรหัตทั้งหยาบทั้งละเอียดนี้ เป็นวิราคธาตุวิราคธรรมแท้ นี้เสร็จกิจใน พระพุทธศาสนา

แต่ให้รู้จักหลักอย่างนี้ทางเป็นจริงของพุทธศาสนาเป็นอย่างนี้ เมื่อเรารู้จักหลักจริงดังนี้แล้ว ให้ปฏิบัติไปตามแนวนี้ ถ้าผิดแนวนี้จะผิดทางมรรคผลนิพพาน

จะเห็นว่า กายธรรมพระอรหัตไม่มีกิเลสเลย ซึ่งก็เป็นไปตามคำสอนในพระไตรปิฎก

ขอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาดู มีใครบ้างไหมที่จะอธิบายเรื่องกิเลสและสังโยชน์ได้อย่างชัดเจนและชัดแจ้งอย่างนี้ 

ส่วนใหญ่แล้ว กิเลสต่างๆ ยังอธิบายกันมั่วไปหมด

ยิ่งชุดระหว่าง โลภะ โทสะ โมหะ กับ ราคะ โทสะ โมหะ อธิบายกันแบบไปไม่เป็น เพราะ ไม่รู้ว่าแตกต่างกันอย่างไร

ในทางวิชาธรรมกายนั้น  ถ้าเราทำวิชาธรรมกายอยู่ในระดับไหนถึงตลอดเวลา เราก็บรรลุธรรมในระดับนั้น

ยกตัวอย่างเช่น เด็กนักเรียนที่เราไปสอนนั้น เราสามารถสอนให้เห็นกายธรรมพระอรหัตได้ สอนให้ขึ้นไปนิพพานได้ ภายในเวลา  1 ชั่วโมง 

พอเลิกสอนแล้ว เด็กก็กลับเป็นเด็กเหมือนเดิม

ดวงธรรม กายธรรมภายใน เวลาท่านวิ่งเล่นกัน  ท่านก็มองไม่เห็นแล้ว  แต่เมื่อเราถามว่า ยังเห็นดวงธรรม กายธรรมในท้องหรือไม่  ท่านก็จะมองเห็นได้ (ทั้งๆ ที่ลืมตาอยู่)  แต่เวลาเล่น เวลาเรียน ท่านก็ไม่เห็นแล้ว

กรณีนี้ เด็กนักเรียนก็ยังเป็นคนธรรมดาอยู่ แต่ดวงบารมีของนักเรียนจะใหญ่ขึ้น และสว่างขึ้น

ท่านที่จะบรรลุธรรมะชั้นใด เมื่อเลิกฝึกปฏิบัติธรรมแล้ว  ท่านจะเห็นกายนั้นอยู่ในท้องของท่านตลอดเวลา และตลอดไป 

ถ้าเห็นกายธรรมพระอรหัตตลอดเวลา ก็แสดงว่าท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว

คำถามเรื่อง ผู้มีดวงตาเห็นธรรมในพระไตรปิฎกนั้น  เราไม่สามารถบอกได้เลยว่า  บุคคลเหล่านั้น บรรลุธรรมแค่นั้น

รู้ได้แต่เพียงว่า เห็นดวงปฐมมรรคหรือดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานแล้วเท่านั้น

ในกรณีของพระปุกกสาติ การสันนิษฐานของพระอรรถกถาจารย์มีทั้งถูกและผิด  พระปุกกสาติน่าจะบรรลุพระอนาคามีแล้ว ไปเกิดเป็นพรหมแล้ว แต่จะต้องปฏิบัติธรรมต่ออีก  ไม่ใช่เกิดปุ๊ปจะบรรลุพระอรหันต์เลยนั้น  เป็นไปไม่ได้

อันนี้ ก็เป็นปัญหาของพระอรรถกถาจารย์อีกประการหนึ่ง เหมือนกัน ที่พยายามจะอธิบายพระไตรปิฎกทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจ  ถ้าตรงไหนไม่เข้าใจก็น่าจะบอกหรือเขียนไปเลย

การทำอย่างนั้นของพระอร รถกถาจารย์ส่งผลเสียอย่างมากในศาสนาพุทธยุคต่อมา เนื่องจาก พุทธวิชาการเกิดมา ลืมเอาสมองส่วนคิดมาด้วย  จำอย่างเดียว 

จึงทำให้ศาสนาพุทธในยุคนี้ผิดเพี้ยนไปหมด

พระปฏิบัติต่างๆ สอนถูกแล้ว  พุทธวิชาการก็บอกว่าสอนผิด  ปัญหามันอยู่ที่ว่า พระปฏิบัติท่านไม่เขียนหนังสือ  แต่พุทธวิชาการเขียน

คนเรียนหนังสือในยุคนี้ จึงโกงกินบ้านเมือง โกงกินบริษัทอย่างมหาศาล

พุทธวิชาต่างๆ ก็โทษโน่น โทษนี่ไป โทษโทรทัศน์ โทษสื่อ โทษไปนานาประการ ไม่ได้ดูตัวเองเลยว่า ตัวเองสอนผิด สังคมไทย ถึงเป็นแบบนี้...



3 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ3 กันยายน 2555 เวลา 22:47

    ขออภัย ไม่อยากขัดใจ แต่เรื่องที่คุณเข้าใจนั้น เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง
    ตามหลักพระพุทธศาสนา ถ้าคุณอยากได้สิ่งที่ถูกต้องจริงๆ
    ต้องไปเรียนที่วัดมหาธาตุ หรือที่วัดสามพระยา ก็ได้
    คุณจะได้พุทธวจนะที่แท้จริง ไปปฏิบัติแน่นอน ได้ผลสำเร็จ
    จริงตามองค์พระศาสตาตรัสไว้ทุกประการ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. มันไม่ถูกต้องอย่างไรล่ะคุณ

      ลบ
    2. ไม่ระบุชื่อ25 ตุลาคม 2555 เวลา 16:31

      วัดมหาธาตุอะตัว ดี มั่วสุดๆๆๆ

      ลบ